Webblog นี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโยลีการศึกษา หลักสูตรศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาพลศึกษา สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตอุดรธานี
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
เนื้อหา
เนื้อหา
คำกล่าวที่ว่า " ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ " นั้นเป็นความจริงที่สุด เพราะว่าคนทุกคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วย เพราะว่าเมื่อเจ็บป่วยแล้วจะอยู่ในภาวะที่ไม่สบายกายไม่สบายใจ การเจ็บป่วยทรมานจิตใจ ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยเท่านั้น พ่อแม่พี่น้อง คนใกล้ชิด ก็พลอยทุกข์ทรมานไปด้วย และยังทำให้เสียเงินทอง เสียเวลาในการรักษาการเจ็บป่วยนั้น เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติ หรือมีสุขภาพดีให้เร็วที่สุดอีกด้วย เมื่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนา เราจึงต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยโดยการป้องกันโรค
การป้องกันโรค หมายถึงการกระทำหรืองดกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคแล้วและการป้องกัน
ไม่ให้กลับเป็นซ้ำในกรณีที่หายจากการเจ็บป่วยเป็นโรคแล้ว
ระดับการป้องกันโรคและหลักการป้องกันโรค
จากความหมายของการป้องกันโรคดังกล่าวข้างต้นทำให้แบ่งระดับของการป้องกันโรคออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. การป้องกันก่อนการเกิดโรคหรือก่อนการเจ็บป่วย หมายถึง การกระทำหรืองดการกระทำใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเป็นโรคหรือเกิดการเจ็บป่วยขึ้น เช่น การดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่าย เช่น การระวังไม่ให้ยุงลายกัด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคไข้เลือดออก การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด เป็นต้น
2. การป้องกันโรคในระยะที่เกิดโรคหรือเจ็บป่วยขึ้นแล้ว หมายถึง การกระทำหรือการงดกระทำใดๆ ที่จะทำให้อาการเจ็บป่วยจากโรคที่เป็นอยู่นั้นไม่รุนแรงมากขึ้น หรือหายป่วยจากโรคนั้นโดยเร็วที่สุด เช่น การกินยาและปฏิบ้ติตามที่แพทย์สั่งเมื่อป่วย เป็นต้น
3. การป้องกันโรคเมื่อหายจากการเจ็บป่วยด้วยโรคแล้ว หมายถึง การกระทำหรือการงดกระทำใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยหรือเกิดเป็นโรคนั้นซ้ำอีกภายหลัง
การป้องกันโรค มีหลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ
การป้องกันโรคด้วยตนเอง หมายถึง การกระทำหรือไม่กระทำบางสิ่งบางอย่างของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองและคนอื่นๆ เกิดเจ็บป่วยหรือการเกิดโรคขึ้น รวมทั้งการป้องกันการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้นในชุมชนด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดในประเด็นนี้คือ การเสริมสร้างสุขภาพเพื่อการป้องกันโรค
การป้องกันโรคระดับบุคคล มีวิธีการปฏิบัติดังนี้.
1. ดูแลรักษาสุขภาพให้สุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มี
คุณประโยชน์อย่างเพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และลดการสูบบุหรี่
2. ล้างมือด้วยสบู่และทำให้สะอาดอยู่เสมอ และใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
3. หลีกเลี่ยงการเดินทางในประเทศ หรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้
4. ถ้าจำเป็นต้องเดินทางในประเทศหรือที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ เมื่อกลับมาจะต้องผ่านกระบวนการตรวจคัดกรอง
ความสำคัญและคุณประโยชน์ของการป้องกันโรค
คำกล่าวที่ว่า " ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ " นั้นเป็นความจริงที่สุด เพราะว่าทุคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วย เพราะว่าเมื่อเจ็บป่วยแล้วจะอยู่ในภาวะที่ไม่สบายกายไม่สบายใจ การเจ็บป่วยทรมานจิตใจ ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยเท่านั้น พ่อแม่พี่น้อง ก็พลอยทุกข์ทรมานด้วย และยังทำให้เสียเงินทอง เสียเวลาในการรักษาการเจ็บป่วยนั้น เพื่อกลับคืนสภาพปกติและมีสุขภาพดีให้เร็วที่สุดอีกด้วย เมื่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ นั้นเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา เราจึงต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยโดยการป้องกันโรค
การป้องกันโรค หมายถึง การกระทหรืองดกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วบด้วยโรคต่างๆ รวมทั้งป้องกันไม่ให้การเจ็บป่วยนั้นรุนแรงมากขึ้นในกรณีที่เจ็บป่วยหรือเป็นโรตแล้วและการป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำในกรณีที่หายจากการเจ็บป่วบเป็นโรคแล้ว
สิ่งแวดล้อมทางสุขภาพมีความสำคัญต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแวดล้อมที่บ้านของเรา เช่นตัวบ้านเรือน ห้องน้ำ ห้องส้วม น้ำดื่ม นำใช้ บริเวณบ้าน ขยะมูลฝอย ซึ่งสิ่งแวดล้อมเหล่านี้สมาชิกทุกคนในบ้านจำเป็นต้องเอาใจใสร่วมมือ และช่วยเหลือกันดูแลรักษาให้ถูกสุขลักษณะอยู่เสมอ แต่การที่จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางสุขภาพให้คงทนถาวรและถูกสุขลักษณะ รวมทั้งได้ผลดีอย่างแท้จริงนั้น เราต้องมีควมรู้ความเข้าใจถึงลักษณะโดยทั่วไปของสิ่งแวดล้อมแต่ละอย่าง พร้อมทั้งจะต้องมีความรู้จักวิธีปฏิบัติเพื่อนำไปบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สิ่งแวดล้อมทางสุขภาพ ซึ่งหมายถึง สิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิตต่างๆ เช่น คน สัตว์ พืช วัตถุหรือสิ่งของอื่นๆ ทีอยู่รอบๆตัวเรา และอาจมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อสุขภาพ ดังนั้นสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จึงมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของคนเรามาก
คนเราต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมตลอดเวลานับตั้งแต่วัยทารกเป็นต้นมา สุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของเราจะดีหรือไม่เพียงใดส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งรอบๆ ตัวเรานั้นมีสิ่งแวดล้อมอยู่มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน มีทั้งสิ่งแวดล้อมที่ให้คุณแลให้โทษปะปนกันแต่สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถปรับปรุงแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้โดยเฉพาะบ้านหรือที่อยู่อาศัยและน้ำดื่มน้ำใช้ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นและสำคัญมากในชีวิตประจำวัน เราสามารถดูแลรักษาให้ถูกสุขลักษณะอยู่ได้เสมอ ถ้าเมื่อสิ่งแวดล้อมเหล่านี้เกิดปัญหาและเป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นอยู่ เราก็จะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกสุขลักษณะและมีสภาพที่ดีขึ้น
ที่มา
http://www.kr.ac.th/ebook2/peera/01.htmlที่มา
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรม
ขั้นนำ ( 5 – 10 นาที )
1. สำรวจรายชื่อนักเรียน ตรวจสุขภาพและเครื่องแต่งกายของนักเรียน
2. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
3. ครูให้นักเรียนนำอุปการณ์การเรียนขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วครูเดินตรวจอุปกรณ์นักเรียนทุกคน
4. ครู สนทนากับนักเรียนในเรื่องสุขภาพ
ขั้นสอนและกิจกรรม ( 30 – 40 นาที )
1. ครูอธิบายเรื่อง การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
2. ครูถามนักเรียนในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
3. ครูให้นักเรียนทำใบงาน เรื่อง ประ
โยชน์จากการปฏิบัติตามการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
4. ครูให้นักเรียนส่งใบงานและตรวจความเรียบร้อยของใบงานที่นักเรียนส่ง
5. ครูสำรวจนักเรียนที่ไม่ได้ทำงานส่ง
ขั้นสรุป ( 5 – 10 นาที )
1. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อหาในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
2. ครูให้นักเรียนซักถามและแสดงความคิดเห็น
3. ครู นัดหมายการเรียนในชั่วโมงต่อไป
และปล่อยให้นักเรียนทำธุระส่วนตัวก่อนเรียนวิชาต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
แผนการเรียนรู้
แผนการเรียนรู้การเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรม Weblog
วิชา สุขศึกษา สาระที่ 4 เรื่อง การสร้างเสริมสุขภาพ
สมรรถภาพและการป้องกันโรค
มาตรฐาน พ.4.1.เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ
การดำรงสุขภาพและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ
ชั้น
|
ประถมศึกษาปีที่ 5
|
ตัวชี้วัด
สาระแกนกลาง
|
1.แสดงพฤติกรรมที่เห็นความสำคัญของการปฏิบัติตนตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
2.ค้นหาข้อมูลข่าวสารเพื่อใช้สร้างเสริมสุขภาพ
3.วิเคราะห์สื่อโฆษณาในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร
และผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างมีเหตุผล
4.ปฏิบัติตนในการป้องกันโรคที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน
5.ทดสอบและปรับปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย
|
ความสำคัญของการปฏิบัติตนตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
แหล่งและวิธีค้นหาข้อมูลข่าวสารทางสุขภาพ
การใช้ข้อมูลข่าวสารในการสร้างเสริมสุขภาพ
การตัดสินใจเลือกซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (อาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพในช่องปาก ฯลฯ)
การปฏิบัติตนในการป้องกันโรคที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน
- ไข้หวัด
- ไข้เลือดออก
-
โรคผิวหนัง
-
ฟันผุและโรคปริทันต์
ฯลฯ
การทดสอบสมรรถภาพทางกาย
การปรับปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย
|
จุดประสงค์การเรียนรู้
1 ผู้เรียนอธิบายวิธีการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
2 ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
3 ผู้เรียนสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการป้องกันโรคได้
สื่อการเรียนการสอน
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรม
ขั้นนำ ( 5 – 10 นาที )
1. สำรวจรายชื่อนักเรียน ตรวจสุขภาพและเครื่องแต่งกายของนักเรียน
2. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
3. ครูให้นักเรียนนำอุปการณ์การเรียนขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วครูเดินตรวจอุปกรณ์นักเรียนทุกคน
4. ครู
สนทนากับนักเรียนในเรื่องสุขภาพ
ขั้นสอนและกิจกรรม ( 30 – 40 นาที )
1. ครูอธิบายเรื่อง
การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
2. ครูถามนักเรียนในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
3. ครูให้นักเรียนทำใบงาน
เรื่อง ประ
โยชน์จากการปฏิบัติตามการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
4. ครูให้นักเรียนส่งใบงานและตรวจความเรียบร้อยของใบงานที่นักเรียนส่ง
5. ครูสำรวจนักเรียนที่ไม่ได้ทำงานส่ง
ขั้นสรุป ( 5 – 10 นาที )
1. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อหาในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
2. ครูให้นักเรียนซักถามและแสดงความคิดเห็น
3. ครู นัดหมายการเรียนในชั่วโมงต่อไป
และปล่อยให้นักเรียนทำธุระส่วนตัวก่อนเรียนวิชาต่อไป
การประเมินผล
1. การป้องกันโรคหมายถึงอะไร
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
2. การป้องกันก่อนการเกิดโรคหรือก่อนการเจ็บป่วย หมายถึง
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
3. การป้องกันโรคในระยะที่เกิดโรคหรือเจ็บป่วยขึ้นแล้ว
หมายถึง
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
4. การป้องกันโรคเมื่อหายจากการเจ็บป่วยด้วยโรคแล้ว
หมายถึง
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
5.การเสริมสร้างสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคการป้องกันโรคระดับบุคคล
มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร
1............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
2.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
3.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
4.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
(แก้ไขงานที่ 12 แล้วครับ)
(แก้ไขงานที่ 12 แล้วครับ)
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555
ประมวลรายวิชา
ประมวลรายวิชา (Course syllabus)
ประมวลรายวิชา (Course syllabus)
สาระการเรียนรู้
|
สุขศึกษาและพลศึกษา
|
สาระที่ 4
|
การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค
|
มาตรฐาน พ.4.1
|
.เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดำรงสุขภาพและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ
|
ชั้น
|
ประถมศึกษาปีที่ 5
|
ตัวชี้วัด
|
1.ผู้เรียนอธิบายวิธีการดูแลสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติได้อย่างถูกต้อง
2.ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการปฏิบัติตนตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
3. ผู้เรียนสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการป้องกันโรคได้
|
สาระแกนกลาง
|
การมีสุขภาพที่ดีเป็นความต้องการจองทุกคน คนที่มีสุขภาพที่ดีต้องมีร่างกานที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงการมีลักษณะท่าทางอารมณ์ที่ดี ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ตามหลักสูตร
|
โครงสร้างเนื้อหาและปฏิทินการเรียน
| |
สัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 3
|
การศึกษาสำรวจข้อมูลพื้นฐานของนักเรียนทุกคน พร้อมทำการบันทึกก่อนการเรียน
ขั้นการศึกษาให้ความรู้ในเรื่องการดูแลสุขภาพ ตามแบบบัญญัติแห่งชาติ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกิจกรรมการเรียนการสอน.
สรุปและประเมินผลการเรียนรู้ พร้อมแบบทดสอบหลังเรียน และนำมาวิเคราะห์ ความรู้และความเข้าใจของผู้เรียนก่อนและหลังเรียน .งค
.
|
รูปแบบการเรียน
|
o การเรียนแบบผสมผสาน
สัดส่วนของการจัดการเรียน 60 % ชั้นเรียน
40 % ออนไลน์
o การเรียนออนไลน์
o ห้องเรียนเสมือนเน้นการเรียนรู้แลกเปลี่ยน
o การเรียนบนเว็บในลักษณะเอกัตบุคคล
|
สื่อทางอินเทอร์เน็ต
|
|
การวัดและประเมินผล
|
ข้อสอบออนไลน์ โดยใช้ กูเกิลฟอร์ม และนำไปแสดงไว้บนweblog ของตนเอง
|
โครงงาน
โครงงานออกแบบระบบการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรม weblog
วิชาสุขศึกษา
เสนอโดย
นายเอกมงคล คำภาษี
รหัสประจำตัวนักศึกษา 53161301070
1. หลักการและเหตุผล
เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งกับการศึกษาอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอน
และทั้งทั้งเกี่ยวกับการเรียนการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆที่เราต้องการ
เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิตและมีความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลไม่ต้องเปิดหาตามหนังสือเหมือนแก่ก่อนกานนำเอาเทคโนโลยีมาเป็นสื่อในการสอนเป็นทางเลือกในการสอนอีกทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก
และมีความสะดวกของครูผู้สอนและผู้เรียนเพื่อใช้ในการศึกษาในวิชานั้นๆและเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้สื่อนวัตกรรม Weblog เป็น สื่อการเรียนการสอนได้อย่างชำนาญ
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้เรียน
จึงได้จัดทำสื่อการเรียนของรายวิชา โดยใช้นวัตกรรม weblog มา เป็นสื่อการเรียนการสอน สำหรับวิชาสุขศึกษา
เพื่อเป็นการทดลองใช้สื่อการสอนกับผู้เรียนในชั้นเรียน และนอกชั้นเรียน
ให้เข้าถึงจุดประสงค์และศึกษารายวิชาสุขศึกษาได้ด้วยตนเอง
2. วัตถุประสงค์
สร้างเพื่อใช้เป็นสื่อการสอน
3. เป้าหมาย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
4. วิธีดำเนินงาน
4.1. หลักสูตรแกนกลาง
4.2. เขียนโครงงาน
4.3. ออกแบบระบบการสอน
4.4. เขียนประมวลรายวิชา
4.5. กำหนดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียน
4.6. สร้างแบบทดสอบออนไลน์
4.7. สร้าง Web Blog และนำข้อมูลในข้อ 2-6 ขึ้นเว็บ
5. ผู้รับผิดชอบโครงการ
นายเอกมงคล คำภาษี ชั้นปีที่ 2/2 เลขที่ 30คณะศึกษาศาสตร์
รหัสนักศึกษา 53161301070 สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตอุดรธานี
6. งบประมาณ
ไม่มี
7. สถานที่ดำเนินการ
1) ระบบ Internet ซึ่งดำเนินการติดตั้ง
และดูแลโดยสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตอุดรธานี
2) weblog ที่ให้บริการโดย Google
8. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ได้สื่อการสอน นวัตกรรม Web blog วิชาพลศึกษา
9.ที่ปรึกษาโครงงาน
อ.สุวลัยพร พันธ์โยธี
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
กีฬาว่าน้ำ
ประวัติความเป็นมาของกีฬาว่ายน้ำ
ความเป็นมาของการว่ายน้ำ
รวมกฎ กติกา และพื้นฐานการเล่น ว่ายน้ำของ บริษัทสกายบุ๊กส์ ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเล่นกีฬาว่ายน้ำไว้ดังนี้[1] ว่ายน้ำเป็นกีฬาที่รู้จักมาแต่สมัยโบราณการว่ายน้ำยุคก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งทะเล แม่น้ำที่ราบลุ่มต่างๆ เช่นพวกแอสซีเรีย อียิปต์ กรีก และโรมันได้มีการฝึกว่ายน้ำแล้ว โดยประวัติศาสตร์ระบุว่า การว่ายน้ำในสมัยก่อนคริสตกาลเป็นการเรียนรู้เพื่อหลบหลีกภัยอันตรายต่างๆ เท่านั้น เช่น ในสงครามยุคเรือใบได้กล่าวถึงทหารที่หลบหนีข้าศึกโดยการว่ายน้ำขึ้นฝั่งด้วยท่าว่ายน้ำด้วยท่าอิสระเรียกว่า “ฟรีสไตล์” (Free style) คือไม่มีท่าทางแน่นอน แต่เพื่อการพยุงตัวอยู่ในน้ำให้ได้นานที่สุดนั้นเป็นการเรียนรู้เพื่อหลบหลีกเอาตัวรอดจากภัยอันตรายต่างๆ เช่นจากเรือล่ม หรืออับปางในทะเล การว่ายน้ำสมัยก่อนนั้น เป็นการว่ายท่าอิสระไม่จำกัดแบบ (Free style) จะว่ายน้ำท่าใดก็ได้ตามถนัดให้ลอยอยู่ในน้ำได้นานๆ และพาตัวเองไปข้างหน้าได้ มนุษย์เรียนรู้การว่ายน้ำโดยวิธีธรรมชาติ แบบการว่ายน้ำนั้นไม่มีอยู่ในระบบจะว่ายท่ากบก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นการกระทุ่มไปข้างๆ ก็ไม่เชิง เพียงพยุงตัวเองให้ลอยน้ำแล้วเท้าทั้งสองถีบน้ำขึ้นลง มือทั้งสองก็พุ้ยน้ำคล้ายสุนัขตกน้ำ หลักฐานอื่นๆ เกี่ยวกับการว่ายน้ำ คือภาพแกะสลักที่ค้นพบในเมืองปอมเปอี เป็นภาพการว่ายน้ำแบบกรรเชียงข้างซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถว่ายน้ำได้ ตั้งแต่ อดีตกาล ส่วนมากจะเป็นการว่ายน้ำโดยการถีบเท้าขึ้นลงใต้น้ำ มือทั้งสองพุ้ยน้ำออกไปข้างๆ ต่อมานาย Raph Thomas เป็นผู้ให้ชื่อการว่ายแบบนี้ว่า “Human stroke” หรือเรียกอีกอย่างว่า “Dog paddle” ซึ่งเป็นการว่ายน้ำแบบสุนัขตกน้ำ
ว่ายน้ำนับว่าเป็นกิจกรรม ที่นิยมขึ้นหน้าขึ้นตาระหว่างชนชั้นต่างๆ ของชาวกรีกเรียกว่าเป็นอุปนิสัยประจำชาติ ต่อมากรีกได้บรรจุกีฬาว่ายน้ำไว้ในระดับชาติ เช่นเดียวกับกีฬาประเภทอื่นๆ พฤติกรรมทำนองนี้ชาวพื้นเมืองของเม็กซิกันก็นิยมว่ายน้ำกันมาก ได้นำวิธีการแบบนี้ไปเผยแพร่ตามหัวเมืองชายทะเล มีการจัดการแข่งขันระหว่าง พระในสำนักวาติกันโดยขนานนาม ผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนั้นว่า “เทพเจ้าแห่งนาวี” เชื่อกันว่า การแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกได้จัดการแข่งขันที่(Woolwich Baths) ใกล้กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเมื่อ ปี ค.ศ.1873 การแข่งขันในครั้งนี้จัดเพียงแบบเดียวคือ ฟรีสไตล์ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะว่ายแบบใดก็ได้ให้เร็วที่สุดการแข่งขันครั้งนี้ J.Trudgen ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยที่เขาว่ายน้ำแบบเดียวกับพวกอินเดียแดงในอเมริกาใต้ เนื่องจากเขาได้เห็นพวกอินเดียแดงว่ายน้ำแบบนั้นจึงได้นำมาว่ายบ้าง จึงได้ซื่อว่าเป็นผู้นำเผยแพร่ วิธีการว่ายน้ำแบบที่ยกแขนขึ้นไปเหนือน้ำในการจ้วงพุ้ยน้ำ หลังจากได้รับชัยชนะมาแล้ว ชาวยุโรปมีความสนใจกันมาก และหัดว่ายตามแบบโดยใช้ชื่อว่า Indian Stroke, Trudgen Stroke หรือ Trudgen Crawl ประชาชนทั่วโลกเริ่มสนใจและกระตือรือร้น ที่จะว่ายน้ำมากขึ้นเมื่อเรือเอก Matthew Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษจากเมือง Dover ถึง Calais เมื่อวันที่ 24-25 สิงหาคม ค.ศ.1875 โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 21 ชั่วโมง 45 นาที ข่าวความสำเร็จในครั้งนี้ได้แพร่กระจายยังความตื่นเต้นไปทั่วโลก เรือเอก Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบด้วยแบบกบ (Breast Stroke) ต่อมาเด็กสาวชาวอเมริกันชื่อ Gertrude Ederle ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษอีก เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1926 โดยทำเวลาได้ 14 ชั่วโมง 31 นาที โดยว่ายแบบ Crawl Stroke ซึ่งเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 50 ปี ว่ายน้ำได้พัฒนาความก้าวหน้ามากขึ้นในเรื่องความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว Lancashire และ Australia ได้ดัดแปลงวิธีการว่ายน้ำแบบ Trudgen Stroke เพื่อให้เกิดความเร็วยิ่งขึ้น เช่น การใช้ขาเตะสลับขึ้นลงแบบกรรไกร โดยกางขาให้มากขึ้นไม่งอเข่ามากเช่นแต่ก่อน ซึ่งผู้นำวิธีการว่ายน้ำแบบนี้ไปใช้ และได้ผลก็คือ Taylor ผู้ครองสถิติโลกเมื่อปี ค.ศ.1926-1908 Bare Kierany ชาวออสเตรเลีย และBattersby ชาวอังกฤษต่อมาการว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke ก็ได้เริ่มขึ้นโดย Alex Wickham เป็นชาวเกาะโซโลมอน อาศัยอยู่ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้ครองสถิติโลกในการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ อยู่เป็นเวลานาน ในระยะทาง 50 หลา เขาได้ว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke และ Alex Wickham ได้กล่าวว่าเด็กชาวเกาะโซโลมอนทุกคนว่ายน้ำในแบบนี้ทั้งนั้น หลังจากนั้นต่อมาการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ก็ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายฝึกหัดกันโดยทั่วไป Dick Cavill ชาวออสเตรเลีย อีกคนหนึ่งที่ได้ปรับปรุงวิธีการว่ายน้ำแบบ Crawl Stoke และ Wickham จนได้รับผลสำเร็จและได้ครองสถิติโลกในระยะทาง 100 หลาโดยทำเวลา ได้ 55 วินาที หลังจากนั้นการว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทั่วโลกศตวรรษที่19 ว่ายน้ำได้มีการพัฒนาความก้าวหน้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในประเทศอังกฤษว่ายน้ำเริ่มมีบทบาท รวมกันเป็นสมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศอังกฤษ และเริ่มรับสโมสรสมาชิกที่มีสระว่ายน้ำเป็นของตนเองไว้ในโอกาสแรก (ในปี 1844 ประเทศอังกฤษมีเพียง 6 สระ เท่านั้น) ช่วงระยะเวลาเดียวกันชาวยุโรปกลับไปนิยมว่ายน้ำประเภทกบโดยการสังเกตจากการว่ายของกบแล้วนำไปเลียนแบบด้วยการกระเดือกตัวหรือคืบตัวไปทางด้านข้างเพราะไม่ค่อย รู้สึกเหนื่อยแต่ไปได้ช้า และมีความเร็วต่ำมาก ในปี 1902 ริชาร์ด ดาวิลล์ ชาวอังกฤษสามารถว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ 100 หลา ด้วยเวลา 58.6 วินาทีนับเป็นเวลาที่เร็วมาก (100 เมตร ประมาณ 1.45 นาที) ทำให้เขาได้รับฉายาในการว่ายน้ำท่านี้ว่าปรู๊ดปร๊าด เหมือนงูเลื้อยี้ ต่อมา ชาร์ล เอม ดาเนียล ได้ประยุกต์การใช้แขนและขาสลับกันกันอัตราส่วน 1 ต่อ 3 และพยายามเปลี่ยนระบบการหายใจออกเป็นจังหวะในขณะใช้แขนจ้วงลงน้ำ และเริ่มหายใจเข้าขณะที่ยกแขนข้างนั้นสูงขึ้น สไตล์การว่ายน้ำแบบนี้ ดาเนียลเรียกชื่อว่า “อเมริกันคลอว์ล” ต่อมาเขาได้ลงแข่งขันว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิก ปี ค.ศ.1910 ได้แชมป์ถึง 3 รายการ และสามารถทำสถิติโลกในระยะทาง 100 หลา ด้วยเวลาเพียง 45.8 วินาที ในปี 1924 ได้มีการแข่งขันกีฬาว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิกที่กรุง ปารีส นักว่ายน้ำชาวอเมริกันชื่อ จอนห์นี ไวสมูลเลอร์ได้ทำสถิติโลกขึ้นใหม่ในระยะทาง 100 เมตร ด้วยเวลา 59.0 วินาที สามารถทำเหรียญทองว่ายน้ำประเภทอื่นๆ อีก 2 เหรียญ ในปี 1964 ดอน ชอลแลนเดอร์ จากสหรัฐอเมริกาได้ลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่18 ที่กรุงโตเกียวได้นำวิธีการว่ายของจอนห์นี ไวมูลเลอร์ มาทั้งหมดไม่มีการดัดแปลงและสามารถคว้าเหรียญทองมาถึง 4 เหรียญจากการว่ายน้ำฟรีสไตล์ 100, 200,400 เมตรโดยลบสถิติ ทั้งหมดทุกระยะที่ตนเองลงแข่งขัน ได้มีคนเลียนแบบการว่ายน้ำท่านี้ ในที่สุดได้เรียกชื่อการว่ายน้ำในท่านี้ว่า ฟรีสไตล์ จนถึงปัจจุบันน
การแข่งขันโอลิมปิกยุคต้นๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 ประเทศเจ้าภาพเริ่มบรรจุการว่ายน้ำท่ากรรเชียงระยะทาง 100 หลาด้วย โดยแยกเป็นท่าว่ายอีกประเภทหนึ่ง แตกต่างจากการ แข่งขัน ประเภทฟรีสไตล์ และต่อมาก็ได้บรรจุท่าว่ายกบเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วยสำหรับการแข่งขันประเภทหญิง ได้เริ่มบรรจุเข้าเริ่มแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1912 เพิ่มประเภท การว่ายน้ำ และระยะทางในแบบต่างๆ เช่นเดียวกับการว่ายของประเภทชาย ปี ค.ศ.1930 ได้บรรจุการแข่งขันว่ายน้ำแบบกบเป็นแบบสากล โดยเป็นการทดลองดูก่อนที่จะแข่งขันโอลิมปิก ปรากฏว่ากบฝรั่งสู้กบญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะนักว่ายน้ำญี่ปุ่นเป็นนักดำน้ำสามารถว่ายใต้น้ำได้รวดเร็วมาก และ ดำได้ครั้งหนึ่งเป็นระยะทางไกลมากเกินกว่า 50 หลา ต่อมาได้มีกติกาห้ามดำน้ำขึ้น เพื่อเป็นการ ป้องกันการดำน้ำหรือการว่ายใต้น้ำของญี่ปุ่น แต่โค้ชญี่ปุ่นก็ไม่ย่อท้อ คิดการว่ายน้ำแบบผีเสื้อขึ้นมาใหม่ทดแทนการดำน้ำเพระกติกาการว่ายน้ำแบบกบสมัยนั้นเขียนว่า ห้ามดำ” เพื่อเป็นการเลี่ยงกฎอย่างดื้อๆ และสามารถลบสถิติไปในที่สุดทำให้อเมริกันเอาอย่างบ้าง โดยการคิดค้นท่าว่ายใหม่ โดยการเตะเท้าคล้ายๆ ปลาโลมาสะบัดหางขึ้นแทนการว่ายน้ำแบบผีเสื้อเตะขากบของชาวญี่ปุ่น และสามารถลบสถิติได้เหมือนกัน “
ประวัติว่ายน้ำสากล สหพันธ์กีฬาว่ายน้ำระหว่างประเทศ (FINA)
(Federation International De Natation Amateur)
สหพันธ์กีฬาว่ายน้ำระหว่างประเทศหรือเรียกว่า “สหพันธ์ว่ายน้ำโลก” มีชื่อเรียก ย่อๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “FINA” ได้กำเนิดขึ้นในปี ค.ค.1908 ประเทศอังกฤษเป็นผู้ริเริ่มและมีบทบาทมากในการก่อตั้งสหพันธ์นี้ขึ้น มีประเทศสมาชิกที่ให้การสนับสนุนหลายประเทศ เช่น กรีซ สหรัฐอเมริกา ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮอลแลนด์ เมกซิโก ฯลฯ หลังจากก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นแล้ว สมาชิกจากประเทศต่าง ๆ ก็ได้แต่งตั้งนาย จี.ดับบลิว ฮีน (G.W.Hean) ผู้แทนสโมสรว่ายน้ำของอังกฤษ เป็นเลขาธิการและเหรัญญิกของสหพันธ์ ฯ เป็นเวลาถึง 16 ปี โดยไม่มีประธานสหพันธ์จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 ที่ประชุมจึงได้เลือก นายอีริก เบิกวอลล์ (Erik Beagvall) ชาวสวีเดน เป็นประธานสหพันธ์คนแรก ประธานได้เลือกเลขาธิการและเหรัญญิกคนเดิมต่อไปอีก 4 ปีจึงได้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งประเทศฝรั่งเศสได้เป็นประธานสหพันธ์การเลือกตั้งมีทุก ๆ 4 ปี ตำแหน่งประธานสหพันธ์ก็เปลี่ยนไปตามประเทศสมาชิกต่าง ๆ
ประวัติกีฬาว่ายน้ำในประเทศไทย สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำระหว่างประเทศในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2501 โดย น.อ.สุรพล แสงโชติ ทูตทหารเรือในฝรั่งเศสได้เป็นผู้ติดต่อไปยัง นาย บี.ซัลล์ฟอร์ส (B.Sallfors) ซึ่งเป็นเลขาธิการประจำอยู่ที่ประเทศสวีเดน และได้รับอนุมัติ ให้เป็นสมาชิกอย่างถูกต้องในเดือนเมษายน 2502 สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้ริเริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ.2500 โดย พล ร.ต.สวัสดิ์ ภูติอนันต์ เจ้ากรมสวัสดิการทหารเรือ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารตามตำแหน่ง ดังนี้ พลเรือตรี สวัสดิ์ ภูติอนันต์ รน. เป็น นายกสมาคม คณะกรรมการได้เสนอเรื่องขออนุมัติ ก่อตั้งสมาคมไปยังกรมตำรวจและกระทรวงวัฒนธรรมในสมัยนั้น และได้รับอนุมัติให้เป็นสมาคมกีฬาว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2502
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)